05 สิงหาคม 2552

ย้อนรอยแม่กก 6 ตอนที่ 9

สายน้ำแม่กกยังไหลขึ้นทิศเหนือ พระอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศตะวันออก และยังคงตกอัศดงทิศตะวันตกไม่เปลี่ยนแปลง เช่นไร เช่นเดียวกับการเดินทางของน้องใหม่หัวใจหว้าเหว่ก็ต้องผจญภัยกับการเดินแถวเพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องเอาประกาศนียบัตร์วิชาเกษตรไปฝากแม่ที่บ้านให้ได้ ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นในยามเช้าเช่นกันกับทุกวันที่ต้องเดินแถวผ่านศาลาคนเศร้าเพื่อเข้าแถวเคารพธงชาติ ในการเข้าแถวเคารพธงชาติก็มีการร้องเพลงชาติเช่นเดียวกับหลายโรงเรียน แถวน้องใหม่จะอยู่เรียงทางศาลพระพรมห้อง 1 2 3 ถึงห้อง9 รุ่น 6 นั้นมีอยู่ 9 ห้องรุ่นพี่ ๆ เข้าแถว(ไม่แน่ใจว่าเป็นแถวดูแล้วน่าจะแถวกระจาย..ฮ่า)ทางทิศตะวันตกด้านพ่อพิรุณ

การร้องเพลงชาติของเกษตรแม่กกนั้น..มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนเช่นที่อื่นใดจะมีจังหวะเข้มแข็งเป็นระเบียบ วรรคตอน ...ประเทศไทย...รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไท้ ฟังแล้วเหมือนปลุกใจทหารตอนจะออกรบน่าฟังมากไม่ทราบปัจจุบันยังคงไว้บ้างหรือเปล่า แถวน้อง ๆ จะปักป้ายห้องเรียนไว้เพื่อให้น้อง ๆไม่สับสนและต้องรักษาป้ายไม่ให้หายและล้มเด็ดขาดเมื่อพี่ ๆ ตรวจการแต่กายของน้องคือตรวจการแต่งกายและป้ายชื่อที่พี่เขียนให้ไม่ให้หาย บางคนป้ายชื่อหายถึงกับขาดเรียนก็มีเช่นไอ้ใหญ่(สมบัติ บ้านโฮ้ง) แล้วพี่รุ่นอาวุโสต้นเสียงร้องเพลงชาติ ธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาแล้ว อาจารย์ขึ้นกล่าวต้อนรับและแนะนำก็เรื่อยเปี่อยที่คิดได้ให้ตั้งใจเล่าเรียน รักษาระเบียบวินัย ต่อไป ก่อนเข้่าชั้นเรียนจะมีการสอนร้องเพลงสถาบันโดยรุ่นพี่ซีเนียร์ พี่ ๆก็ว้ากสอนน้องไปเรื่อย ๆ ส่วนอาจารย์ก็ยิ้ม ๆให่้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ การเข้าแถวนั้นจะมีการเข้าแถวเช้าเย็น ในตอนเย็นนั้นจะเป็นการเข้าแถวเพื่อเตรียมตัวลงงาน การลงงานคือวิชาทักษะความอดทนและความสามัคคีนั่นเอง(ขณะปีนั้นหลายครั้งเป็นการสร้างผลงานให้อาจารย์ที่รักของเราก็มี)

การลงงานทุกคนจะต้องมี "ขอบก" คนละด้าม แม่กกจะไม่ทิ้งขอบก จะสั้นยาวแล้วแต่ละคนไปบางคนปีแรกยาวเป็นเมตรกว่า พอปีที่สามเหลื่อเพียงศอกเดียวก็มีน่าจะเป็นเพราะความขยันใช้นั่นเอง นอกจากขอบกแล้วเอกลักษณ์ความเป็นรุ่นพี่ (อีกที)จะต้องเอกบุรุษ กางเกงยีนส์เซอร์ๆ เสื้อม่อห้อมซีด ๆ เพื่อแสดงความเก๋า โดยให้กางเกงซ่อนข้างใสชายเสื้อไว้ลากขอบกดังแสด ๆๆ ที่ขาดไม่ได้คื่อ ครบเครื่องจะต้องสวมรองเท้าแตะ นี่แหละครับ "หน่อเนื้อกระดูกสันหลังของชาติ" ............ควายเฒ่า..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น